วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561

การอ่านบทคาม

เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็กเล่ม ๑

"สรุปความจากเรื่อง เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก เล่ม ๑"
ชื่อผู้ัแต่ง : คุณทิพย์วาณี  สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
สำนักพิมพ์ : ศิลปาบรรณาคาร


เรื่องย่อ


      ย้อนกลับไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 - 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้เขียนได้นำเรื่องราวชีวิตครอบครัวคนไทยสมัยที่คุณตาคุณยายเป็นเด็กมาเล่าให้ฟังโดยถ่ายทอดเป็นภาษาง่ายๆ หากแต่บรรยายให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันเหตุการณ์บางอย่างหรือสิ่งของหลายสิ่งก็ได้เริ่มจางหายไปจากสังคมไทยแล้ว นิยายเล่มนี่มีทั้งหมด 40 ตอน
      ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่าว่า เมื่อครั้งคุณตาคุณยายยังเด็ก คุณตาเล่าว่า เมื่อพี่ชายของคุณตาถูกตี คุณตารับคำสั่งให้ไปหาไม้มาให้  คุณตาสงสารพี่ชายเลยทำเป็นหาไม่ได้ หาได้แค่อันเล็กที่จับไม่ถนัดมือ แล้วถูกไล่ให้ไปหามาใหม่ คุณตาก็ได้ไม้อันใหญ่ที่จับไม่ได้ คุณแม่เลยตัดสินใจออกไปหามาเองแล้วคุรตากับพี่ชายก็โดนตีทั้งคู่โทษฐานที่ช่วยเหลือพี่ชายไม่ให้โดนตี  ในส่วนของคุณยายนั้นคุณยายจะไม่ใช่เด็กแก่นแก้วอะไร เพียงแต่คุณยายจะดื้อจึงโดนตีแต่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่คุณยายจะโดนหยิกมากกว่า  ส่วนใหญ่ในสมัยนั้นต้นมะยมจะเป็นต้นไม้ประจำบ้าน ลูกมีไว้กิน ใบใช้พรมน้ำมนต์เป็นศิริมงคล ส่วนก้านนั้นใช้เป็นไม้เรียวตีเด็กที่ดื้อ และซุกซน ก้านมะยมจะตีแล้วรู้สึกเจ็บๆ แสบๆ คันๆ และคุณยายเล่าอีกว่า เวลาคนทำผิดนั้นต้องไปหาก้านมะยมมา คุณยายมักจะหาอันสั้นๆมาและก้านเดียว ผู้ใหญ่บอกไม่พอต้องหาอีกจนกว่าจะพอจึงจะตี เด็กบางคนโดนตีแล้ววิ่ง ยิ่งทำให้โดนตีมากกว่าเดิม แต่ถ้าคนไหนไม่หนีจะโดนตีน้อยหน่อย แต่คุณยายจะร้องไห้ทุกทีที่โดนตี   แต่ในปัจจุบันการที่ผู้ใหญ่จะลงโทษเด็กนั้นส่วนใหญ่จะต่อว่าตักเตือนเสียงมากกว่า จะไม่ใช้การตีเหมือนคนในสมัยก่อน คุณครูก็เหมือนกันปัจจุบันก็จะตีเด็กน้อยลงจะใช้คำพูด ลงโทษมากกว่า



ข้อคิดจากนิยายเล่มนี้


     สมัยปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอาจทำให้ความเชื่อ ความคิด และการดำเนินชีวิตของผู้คนแตกต่างกันออกไป ทั้งการพูด การกิน และธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ซึ่งเราในฐานะที่เป็นคนสมัยใหม่ หากลองเปิดใจเรียนรู้สิ่งที่คนสมัยก่อนทำก็จะได้เห็นอีกแง่มุมที่น่าสนใจและอาจนำไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น ในเรื่องของการเลี้ยงดูลูกหลาน สมัยคุณตาคุณยายยังเด็ก กลางคืนเดือนงายในหน้าร้อนสมัยก่อนเด็กๆจะนอนไม่คอยหลับกัน จึงเล่านิทานกันบ้าง  ร้องเพลง เล่นเกมต่างๆ ก่อนจะเข้านอนกัน ในสมัยก่อนไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีเครื่องมือสื่อสารต่างๆ มีแต่วิทยุ ไว้ฟังข่าวสารต่างๆ มโหรี ละครย่อย และดนตรี ซึ่งผิดกับปัจจุบันที่เด็กจะเล่นเกมในตอนกลางคืนกันมากกว่ามานั่งดูหรือฟังข่าวสารต่างๆ จะเล่นโทรศัพท์จนเช้าของอีกวัน ซึ่งนิยายเล่มนี้จะทำให้เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปของคนในสมัยก่อนกับปัจจุบันได้มาก จึงอยากให้คนที่อ่านได้ตระหนักเห็นถึงการดำเนินชีวิตของคนในสมัยก่อนแล้วนำมาปรับใช้กับปัจจุบันไม่มากก็น้อย
 นางสาวรจนา  หนูปาน
รหัสนิสิต611031100
คณะศึกษาศาสตร์  วิชาเอกเคมี




วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561

สรุปบทความ"ฟองน้ำ ศัตรูตัวร้ายในห้องครัว"


เรื่อง: ฟองน้ำ ศัตรูตัวร้ายในห้องครัว
โดย: นายณัฐดนัย เนียมทอง เป็นบทความประเภทให้ความรู้

ภาพ ฟองน้ำล้างภาชนะ 
ที่มา https://support.google.com/legal/answer/3463239?sa=X&ved=2ahUKEwiq7pKFsLPdAhUGso8KHYldCE8QlZ0DegQIARAB

   นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมนี ดร. Cardinale M กล่าวถึงผลงานวิจัยอันน่าตกใจว่า “ฟองน้ำล้างจานนี่แหละเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่มีชีวิตใหญ่ที่สุดเท่าที่มีในบ้านหลังหนึ่ง” โดยให้ข้อมูลว่า ให้ลองจินตนาการถึงฟองน้ำขนาดเท่าก้อนน้ำตาล 1 ก้อน  จะพบเซลล์แบคทีเรียอาศัยอยู่ประมาณ 54,000 ล้านเซลล์ตัวต่อ 1 ตารางเซนติเมตร และที่สำคัญคือแบคทีเรียกลุ่มนี้คือกลุ่มของแบคทีเรียก่อโรค เช่น Acinetobacter johnsonil Cryseobacterium hominis และ Moraxella ostoensis ซึ่งแบคทีเรียกลุ่มนี้มีรายงานว่าเป็นที่มาของการเกิดโรคที่เกี่ยวกับคออักเสบ

    ภาพ จุลินทรีย์สายพันธุ์ Salmonella spp
 ทีมา https://th.wikipedia.org/wiki/Salmonella

        แบคทีเรียในฟองน้ำไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีรายงานากคณะผู้วิจัยจากหลากหลายสถาบัน เช่น สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองควบคุมอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ได้ร่วมกันดำเนินการสำรวจหาอัตราการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในฟองน้ำไว้และให้ข้อมูลสำคัญว่า Salmonella spp เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในฟองน้ำ เนื่องจากฟองน้ำมีรูพรุนจำนวนมากทำให้สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยและเพิ่มจำนวนได้ ซึ่งส่วนใหญ่การสะสมนี้เกิดจากการก่อตัวของแบคทีเรียสะสมอันเนื่องจากการขาดการรักษาความสะอาดและไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจานชนิดป้องกันเชื้อแบคทีเรีย
     จะมีแนวทางป้องกันและกำจัดเชื้อแบคทีเรียสะสมได้หลายวิธี ดั้งนี้
      1.ใช้ผลิตภัณฑ์นัำยาล้างจานชนิดกำตัดแบคทีเรียในฟองน้ำหลังจากใช้งานเสร็จก็ควรล้างฟองน้ำให้สะอาดผึ่งให้แห้ง   
      2.อาจจะใช้ความร้อนในการฆ่าเชื้อหรือถ้าเป็นไปได้ผึ่งแดดจัด2-3ชั่วโมง จะฆ่าเชื้อได้เป็นอย่างดี
      3.การแช่ฟองน้ำในกรดน้ำส้ม 5% (Acetic acid) หรือน้ำส้มสายชู ในอัตราส่วน 4 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร) ผสมกับน้ำครึ่งลิตร โดยแช่ค้างคืนไว้ น้ำส้มสายชูที่ผ่านในการแช่ฟองน้ำ ไม่ควรนำมาแช่ครั้งต่อไปอีก
      4. ควรเปลี่ยนฟองน้ำบ่อย ๆ
      จากบทความนี้มีความคิดเห็นว่าเชื้อโรคที่เกิดมานั้นมาได้จากหลายๆแหลางแต่มันอาจจะมาจากสิ่งรอบข้างที่ใกล้ตัวเราที่สุดและสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ฟองน้ำที่เอาไว้ล้างจาน ซึ่งฟองน้ำล้างจานเป็นแหล่งเชื้อโรคที่มีชีวิตใหญ่ที่สุดและก่อให้เกิดโรคได้ง่ายที่สุด คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องความสะอาดกันเท่าไร ดูได้จากแม่บ้านในตอนล้างจากเวลาล้างจานเสร็จมักจะตั้งฟองน้ำเลยโดยที่ไม่ล้างฟองน้ำให้สะอาดและจะใช้จนมันเก่า มีสีดำ ฟองน้ำหลุดหรือฉีกขาด ถ้าเราเก็บฟองน้ำไว้นานแบคทีเรียก็จะสะสมไปเรื้อยๆเพิ่มมากขึ้นทำให้เราเกิดโรคได้ง่ายกว่าเดิมหรืออาจจะรุนแรงมากขึ้น
       จากบทความนี้ก็สามารถนำไปปรับใช้ในด้านของการรักษาความสะอาดของฟองน้ำ การป้องกันการเกิดโรคจากสิ้งใกล้ตัวของเรา โดยการนำวิธีป้องกันมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อที่จะให้ตัวเราและคนฝนครอบครัวของเราห่างไกลจากแบคทีเรียของการเกิดโรคและรู้วิธีการทำความสะอาดของฟองน้ำได้อย่างถูกต้องอีกด้วยค่ะ


สรุปบทความโดย 
นางสาวรจนา  หนูปาน
รหัสนิสิต611031100
คณะศึกษาศาสตร์  วิชาเอกเคมี


วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

สรุปบทความ"ความ(ไม่)ลับของหมอก



                   ภาพที่ 1 หมอกบดบังวิสัยทัศน์ในการขับขี่บนท้องถนน 
                             ที่มา https://pixabay.com/th/ jplenio


         จากบทความนี้ได้รู้เกี่ยวกับหมอกว่าหมอกเกิดขึ้นจากอะไรอย่างไร หมอกที่เกิดขึ้นในโลก คือ กลุ่มของละอองน้ำที่ลอยตัวในระดับต่ำเหนือพื้นดิน ก่อตัวเป็นไอน้ำควบแน่นในอากาศเปลี่ยนเป็นหยดน้ำเล็กๆ การเกิดหมอกมีผลเสียและเกิดอันตรายในการขับขี่เป็นอย่างมาก          จากบทความนี้จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดหมอกมีหลากหลาย เช่น อุณหภูมิ ความชื้นจุดน้ำค้าง ความเร็วลม ทิศการพัดของลมและบริเวณที่ลมพัดผ่าน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้แต่ละตัวต่างก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดหมอกแต่ละชนิด สำหรับการทำลายหมอกนั้น อาจทำได้โดยการพ่นความร้อนหรือฉีดพ่นเกลือใส่ก็เป็นวิธีที่ให้ผลดีพอสมควร           หมอกมักมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันตามกระบวนทางกายภาพในการเกิดหมอก ดังนี้
1.หมอกจากการแผ่รังสีความร้อน (Radiation fog) หมอกชนิดนี้มักจะเกิดขึ้นช่วงฤดูหนาว ในวันที่มีอากาศแจ่มใส โดยในช่วงเวลากลางคืน พื้นดินจะคายความร้อนด้วยการแผ่รังสีความร้อน จึงทำให้พื้นดินและอากาศที่ลอยเหนือพื้นดินเย็นลง เมื่ออุณหภูมิลดลงจะทำให้อากาศถูกลดความสามารถในการกักเก็บไอน้ำ เป็นเหตุให้เกิดการควบแน่นและกลายเป็นหมอก อย่างไรก็ดีหมอกชนิดนี้จะจางหายไปเมื่อพื้นดินอุ่นขึ้นจากพระอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นในตอนเช้า
2.หมอกจากการพาความร้อนในแนวนอน (Advection fog) เป็นหมอกที่เกิดขึ้นจากอากาศที่เคลื่อนตัวผ่านพื้นผิวที่เย็น จึงทำให้อากาศที่อยู่ต่ำกว่ามีอุณหภูมิลดลงจนต่ำกว่าจุดน้ำค้าง ตัวอย่างโดยทั่วไปที่พบได้บ่อยคือ เมื่อมวลอากาศอุ่น (Warm Front) เคลื่อนที่ผ่านพื้นผิวที่เย็นจัดของพื้นน้ำในทะเลจนเกิดเป็นหมอกทะเล
3.หมอกลาดเนินเขา (Upslope fog) หรือหมอกภูเขา (Hill fog) เกิดขึ้นเมื่ออากาศเคลื่อนที่ตามลาดเขา อากาศยกตัวสูงขึ้นมีอุณหภูมิลดลง ก่อนจะกลั่นตัวกลายเป็นหมอก
4.หมอกหุบเขา (Valley fog) เป็นหมอกที่เกิดขึ้นเมื่ออากาศเย็นซึ่งความหนาแน่นสูงที่อยู่ในบริเวณพื้นที่สูง เคลื่อนตัวต่ำลงมายังพื้นที่ที่ต่ำกว่าเช่น บริเวณหุบเขา เป็นผลให้อุณหภูมิของอากาศบริเวณหุบเขาเย็นตัวลงจนเกิดการควบแน่นและกลายเป็นหมอก ในขณะที่ทัศนวิสัยเหนือหุบเขามีอากาศแจ่มใส
5.หมอกน้ำแข็ง (Freezing fog)

6.หมอกที่เกิดจากการระเหย (Evaporation fog) เป็นหมอกที่เกิดขึ้นจากการระเหยของไอน้ำจากแหล่งน้ำที่อุ่นเข้าสู่อากาศเย็นที่เคลื่อนที่ผ่าน ทำให้อากาศเย็นอิ่มตัวด้วยไอน้ำ และเกิดการควบแน่นจนกลายเป็นหมอก ซึ่งแบ่งได้ 2 ประเภทคือ หมอกในแนวปะทะอากาศ (Frontal fog) และหมอกไอน้ำ (Steam fog)




สรุปบทความโดย
นางสาวรจนา  หนูปาน
รหัสนิสิต611031100
คณะศึกษาศาสตร์ เอกเคมี

การอ่านบทคาม

เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็กเล่ม ๑ "สรุปความจากเรื่อง เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก เล่ม ๑" ชื่อผู้ัแต่ง  : คุณทิพย์วาณี  สนิทวงศ์ ณ อยุธย...